งานคอนกรีต |
คอนกรีตเป็นวัสดุก่อสร้าง ที่มีข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับวัสดุอื่น อันได้แก่ มีราคาถูก ไม่ติดไฟ มีความทนทานสูง อายุการใช้งานยาวนาน ค่าบำรุงรักษาต่ำ และสามารถทำผิวให้สวยงามได้ ชนิดคอนกรีต คอนกรีตที่ใช้งานโครงสร้าง แบ่งออกได้ 5 ประเภทใหญ่ๆคือ 1. คอนกรีตล้วน Plain Concrete เป็นคอนกรีตอย่างเดียวปราศจากวัสดุอื่น เหมาะสมกับโครงสร้างที่รับแรงอัดอย่างเดียว ได้แก่ คอนกรีตที่เป็นแท่งใหญ่ Mass Concrete กำแพงกันดินแบบน้ำหนักถ่วง Gravity Retaining Walls 2. คอนกรีตเสริมเหล็ก Reinforce Concrete เป็นคอนกรีตที่มีเหล็กเสริมเพื่อให้สามารถรับแรงอัดและแรงดึงมากขึ้น นิยมใช้ในการก่อสร้าง เสา คาน พื้น และฐานราก ในปัจจุบัน โครงสร้างอาคารส่วนใหญ่ นิยมใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก 3. คอนกรีตอัดแรง Prestress Concrete เป็นโครงสร้างคอนกรีตที่ใช้เทคนิคการดึงลวดรับแรงดึงสูง Tendon และถ่ายแรงค้างไว้ในเนื้อคอนกรีต ทำให้โครงสร้างสามารถต้านทานต่อโมเมนต์ดัดและแรงเฉือนได้ คอนกรีตอัดแรงสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท 3.1. วิธีอัดแรงก่อน Pre-Tension Prestress Concrete ทำโดยดึงลวดรับแรงสูงไว้ก่อนในแบบหล่อ แล้วจึงเทคอนกรีตลงในแบบหล่อ เมื่อคอนกรีตพัฒนากำลังอัดตามที่กำหนดไว้แล้ว จึงตัดลวดออก แรงดึงที่ค้างอยู่ในลวดรับแรงดึงสูง จะถ่ายแรงเข้าสู่คอนกรีต 3.2. วิธีอัดแรงทีหลัง Post Tension Prestress Concrete ทำโดยสอดลวดแรงดึงสูงไว้ในการวางท่อโลหะสังกะสีในแบบหล่อ เทคอนกรีต เมื่อคอนกรีตได้กำลังตามที่กำหนดไว้แล้ว จึงดึงลวดรับแรงดึงสูงที่ปลาย หัว-ท้าย หรือปลายด้านใดด้านหนึ่ง 4. คอนกรีตเบา Lightweight Concrete คือ คอนกรีตที่มีความหนาแน่นหรือหน่วยน้ำหนักน้อยกว่าคอนกรีตที่ใช้กันอยู่ทั่วไป มีค่าประมาณ 400-1900 กก./ลบ.ม. โดยคัดเลือกวัสดุผสมที่มีน้ำหนักเบาพิเศษ หรืออาศัยปฏิกิริยาของผงด่างโลหะกับน้ำ ทำให้เกิดฟองอากาศขนาดเล็กจำนวนมากในเนื้อคอนกรีต คอนกรีตจึงพองตัว และเบาขึ้น คอนกรีตเบานี้ จะช่วยลดน้ำหนักอาคารได้มาก และประหยัดต้นทุนค่าก่อสร้างลงได้บางส่วน 5. คอนกรีตหล่อสำเร็จรูป Precast Concrete เป็นการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปจากโรงงาน แล้วจึงนำมาประกอบติดตั้ง ณ สถานที่ก่อสร้าง เช่น ผนังสำเร็จรูป แผ่นพื้นสำเร็จรูป เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง คานสำหรับงานสะพาน หรือทางด่วน เป็นต้น |
การผสมคอนกรีตการผสมคอนกรีต เป็นการนำปูนซีเมนต์ หิน ทราย และน้ำ รวมทั้งสารเคมีผสมเพิ่มและวัสดุผสมอื่นๆ
มาผสมคลุกเคล้าเข้าด้วยกันในอัตราส่วนที่กำหนดเพื่อให้ได้คอนกรีตที่มีความสม่ำเสมอ
และมีคุณสมบัติด้านการทำงานที่พอเหมาะเพื่อนำไปสู่คอนกรีตที่มีคุณภาพดีต่อไป
เนื่องจากประเทศไทย อยู่ในเขตร้อน อากาศร้อนจัดเป็นระยะเวลาหลายๆเดือน ควรหาวิธีลดอุณหภูมิของคอนกรีตลง เช่น ฉีดน้ำลงบนวัสดุผสมเพื่อลดความร้อน สถานที่กองวัสดุผสมมีสิ่งปกคลุม ฉีดน้ำพ่นแบบหล่อและเหล็กเสริม อาจใช้น้ำแข็งผสมลงในคอนกรีตก็ได้ เป็นต้น การลำเลียงคอนกรีต หลังจากผสมคอนกรีตแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลำเลียง Handling คอนกรีตเพื่อเทลงแบบหล่อ ควรคำนึงถึงความประหยัด และปริมาณของคอนกรีตที่จะทำการลำเลียง ขณะลำเลียงพึงระวังอย่างให้เกิดการสูญเสียน้ำ คงคุณสมบัติที่มีสารยึดเกาะที่ดี และอย่าให้เกิดการแยกตัว Segregation |
การเทคอนกรีต และการทำให้แน่นการเทคอนกรีต Placing และการทำให้แน่น Compacting เป็นงานที่กระทำควบคู่กันไปตลอดเวลา วัตถุประสงค์หลักของการเทคอนกรีตคือ การป้องกันไม่ให้คอนกรีตเกิดการแยกตัว และทำคอนกรีตให้แน่นอย่างทั่วถึง การเทคอนกรีตและการทำคอนกรีตให้แน่นอย่างถูกวิธี และบรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น มีเทคนิคดำนเนิการดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายตำแหน่งของคอนกรีต โดยใช้เครื่องสั่นคอนกรีต 2. ควรเทคอนกรีตทีละชั้น อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลาดเอียง และไม่ควรเทสุมเป็นกอง 3. ความหนาของการเทแต่ละชั้น ควรพอเหมาะกับกำลังของเครื่องสั่นคอนกรีต เพื่อให้สามารถไล่ฟองอากาศออกจากส่วนล่างของแต่ละชั้น 4. งานเทคอนกรีต สำหรับผนัง ควรเทให้หนาเป็นชั้นความหนา ชั้นละประมาณ 30-45 ซม. ควรเริ่มเทคอนกรีตจากมุม หรือจุดท้ายสุดของแบบผนัง 5. อัตราการเทคอนกรีต การสั่นคอนกรีต ควรมีความสมดุลกัน 6. ควรทำาการสั่นคอนกรีตให้แน่อนเสียก่อนในแต่ละชั้น ก่อนที่จะเทคอนกรีตในชั้นถัดไป 7. โครงสร้างในแนวดิ่ง เช่น เสา หรือ ผนัง ไม่ควรเทคอนกรีตเร็วกว่า ความสูง 2 เมตรต่อชั่วโมง และควรเทอย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยต่อขณะเทคอนกรีต Cold Join 8. หลีกเลี่ยงการเทคอนกรีตกระทบกับแบบหล่อหรือเหล็กเสริมโดยตรง กรณีโครงสร้างที่มีความสูง เช่น เสา ผนัง คานลึก ปล่องลิฟท์ ควรใช้ท่อเทคอนกรีต Tremie or Pipe เพื่อป้องกันการแยกตัว 9. โดยทั่วไป ควรเทคอนกรีตลงในแนวดิ่ง แต่สำหรับการเทคอนกรีตในแนวนอนหรือแนวลาดเอียง ต้องเทคอนกรีตจากจุดต่ำสุด และให้คอนกรีตดันตัวขึ้นมาตามแบบหล่อ ควรเทคอนกรีตอย่างต่อเนื่องกัน 10. ไมควรให้ระยะตกอิสระของคอนกรีตสูงกว่า 1.5ม. 11. หากต้องการหล่อคอนกรีต เสา ผนัง คาน และพื้นพร้อมกัน ทำได้โดยเทคอนกรีตส่วนเสาและผนังก่อน ทิ้งไว้ประมาณ 2 ชม. แล้วจึงเทคอนกรีตในส่วนของคานและพื้นต่อไปได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อเสาและผนังที่ยังไม่แข็งตัวดี |
||
|
||
|
||
การเทคอนกรีตลงในแบบหล่อที่มีความสูง โดยให้คอนกรีตไหลลงมาพักยังกระเปาะ แล้วจึงล้นลงไปในแบบหล่อเอง ไม่ให้เกิดการกระแทก ซึ่งจะทำให้คอนกรีตเกิดการแยกตัว ดังภาพ |
การบ่มคอนกรีตการบ่มคอนกรีต Curing หมายถึง การควบคุมและป้องกันมิให้น้ำส่วนที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาระเหยออก เพื่อช่วยให้ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการพัฒนากำลังอัดของคอนกรีตเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ทำให้คอนกรีตมีคุณสมบัติทนทาน ทึบน้ำ ไม่สึกกร่อน และช่วยลดการหดตัว ระยะเวลาในการบ่ม หากทำการบ่มชื้น คอนกรีตที่ใช้ปอร์ตแลนด์ซีเมนต์ประเภทที่ 1 อย่างต่อเนื่อง 7 วัน กำลังอัดที่ได้เมื่ออายุ 28 วัน เท่ากับการบ่มชื้นต่อเนื่อง 28 วัน ดังนั้นจึงควรทำการบ่มคอนกรีสำหรับคอนกรีตที่ใช้ปอร์ตแลนด์ซีเมนต์ประเภทที่ 1 เป็นเวลา 7 วัน สำหรับคอนกรีตที่ใช้ปอร์ตแลนด์ซีเมนต์ประเภทที่ 3 ควรบ่มอย่างน้อย 3 วัน พึงตระหนักว่าการปล่อยปะละเลยไม่เอาใจใส่ต่อการบ่ม ส่งผลเสียต่อกำลังอัดคอนกรีตอย่างมาก ต้องป้องกันอย่าให้คอนกรีตได้รับความสะเทือน และเมื่อพ้นระยะเวลา 24 ชั่วโมงหรือเมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วต้องทำการบ่มทันที วิธีการบ่ม การบ่มในสภาพอุณหภูมิปกติ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี คือ การเพิ่มความชื้นและวิธีป้องกันการสูญเสียความชื้น 1. การเพิ่มความชื้น เป็นการเพิ่มความชื้นต่อหน้าผิวของคอนกรีตโดยตรง หลังจากคอนกรีตแข็งตัวแล้ว โดยการขังน้ำ ฉีดน้ำ พรมน้ำ และใช้วัสดุเปียกชื้นคลุม วิธีการนี้เป็นวิธีการบ่มที่ดี และ ช่วยลดอุณหภูมิที่ผิวคอนกรีต
2. วิธีป้องกันการเสียน้ำจากเนื้อคอนกรีต วิธีการนี้ป้องกันความชื้นจากผิวคอนกรีตมีให้ระเหยออกสู่ภายนอก การบ่มด้วยวิธีนี้ทำใด้หลายวิธี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
การเทลีนเทลีน คือ การเทคอนกรีตเพื่อปรับผิวหน้าดิน
สำหรับเตรียมพื้นที่ไว้เพื่อรองรับการผูกเหล็กและการเทคอนกรีตในงานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
โดยหลังจากที่ขุดหลุมหรือปรับระดับดินเรียบร้อยแล้ว จะใช้คอนกรีตหยาบผสมในอัตราส่วนประมาณ 1:3:5
เทลงไปบนพื้นดินหนาประมาณ 5-10 ซม. เพื่อปรับหน้าดินให้เรียบ
การเทลีน เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำ แต่การเทลีนนั้น จะช่วยให้การผูกเหล็กเพื่อทำโครงสร้างมีระดับติดกับพื้นดินได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเหล็กเสริมควรจะมีคอนกรีตหุ้มอยู่ไม่น้อยกว่า 5 ซม. เพื่อความแข็งแรงของโครงสร้าง และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิม ผิวหน้าที่เรียบหลังจาเทลีนแล้ว เมื่อวางเหล็กเสริมลงไปจะสามารถหนุนลูกปูนหรือช่วยรักษาระดับของเหล็กได้ง่ายขึ้น โดยที่เหล็กเสริมจะไม่เสียรูป ไม่จมดิน หรือเปลี่ยนตำแหน่ง เมื่อถูกคอนกรีตเททับ และจะทำให้คอนกรีตสามารถไหลหุ้มเหล็กจนมิดได้ รวมทั้งยังช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดจากดิน เช่น ดินไหล ดินเป็นโพรง ความสกปรกจากดินโคลนหรือน้ำใต้ดิน ที่จะส่งผลต่อความแข็งแรงของโครงสร้างอีกด้วย ข้อมูลอ้างอิง SCGExperience |